กาละแมร์งานเข้า ไลฟ์ขายอาหารเสริมมหัศจรรย์ เหมือนทำศัลยกรรมมา
23 มกราคม 2021กาละแมร์งานเข้า ไลฟ์ขายอาหารเสริมมหัศจรรย์ ถ้าจะพูดกันตามจริงแล้ว การขายของปิดท้ายรายการตามช่องโทรทัศน์ต่างๆ นั้นเริ่มมีเห็นเห็นกันอย่างหนาตา ตั้งแต่มีการประมูลคลื่นทีวีดิจิตอล โดยบางรายการนั้นอาจจะเป็นสปอนเซอร์ที่พาดารามาชวนคุยถึงคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ มากิน มาดื่ม มาทานให้ดู ว่าถ้าใช้แล้วจะสวยหล่อยังงั้นยังงี้ จนช่วงหลังๆ มานี้แทบจะเห็นได้ว่ามี tie in กันแทบจะทุกรายการ
และมันก็ลามไปจนถึงโฆษณาบนสื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้ง facebook, line และ Google ที่มีโฆษณาเหล่านี้ตามคอยหลอกหลอนเรา ว่ามันจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างไร จากนั้นก็ตามติดมาด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์มาถ่ายรูปคู่กับสินค้าลงบนแอคเคาท์ออฟฟิสเชียลต่างๆ จนล่าสุดพอโควิด 19 มางบเริ่มน้อยลง เจ้าของแบรนด์เลยต้องลงมา live ขายของเอง ซึ่งเหล่าบรรดาคนดัง ดารา นักร้อง นักแสดง ก็ต่างพากันมาหารายได้เสริมแบบขายตรงแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้มีเฉพาะเคสของกาละแมร์
แต่ที่พิธีกรสาวมากความสามารถคนนี้โดนประเด็นโฆษณาเกินจริงเข้าอย่างจัง เพราะเธอบอกว่าอาหารเสริมของเธอเนี่ย ดื่มแล้วดั้งจะโด่งขึ้น และช่วยทำให้มีตา 2 ชั้นได้ งานนี้เลยกลายเป็นประเด็นดราม่าระลอกใหญ่บนโลกออนไลน์ ส่วนหนึ่งเพราะเธอเคยเป็นสื่อหลักที่มีความน่าเชื่อถือ แต่กลับมาให้ข้อมูลผิดๆ หลอกลวงประชาชนแบบนี้ ทำเอาเหล่าบรรดาคนที่เคยเป็นแฟนคลับของ กาละแมร์ นั้นรับไม่ได้กับการกระทำนี้ของเธอ
ทำให้พันตำรวจเอกชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. นั้นต้องออกโรงเร่งตรวจสอบ กาละแมร์ ว่าได่ไลฟ์สดขายสินค้าอาหารเสริมของตนเองและพูดถึงสรรพคุณว่ามีคุณสมบัติป้องกันโรคโควิด-19 ได้ หรือหากใครที่เป็นโควิด-19 เมื่อได้กินอาหารเสริมตัวนี้จะหายจากโควิด-19 จนมีการแชร์กันอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์จริงหรือไม่ หลังจากที่ภญ. สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ส่งเรื่องประสานเข้ามาที่ ปคบ. ซึ่งจากการตรวจสอบพบ ว่าเข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ.อาหารและยา มาตรา 40 ที่ ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือ สรรพคุณของอาหาร อันเป็นเท็จหรือเป็นการหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร
โดยในอาทิตย์นี้ทาง ปคบ.จะมีการทำหนังสือเรียกให้ กาละแมร์ เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งถ้าเธอทำผิดจริง ก็จะได้รับโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท